วันพุธที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2553

world cosplay summit 2009

เครดิต http://www.youtube.com/watch?v=qQo8dRKUmx4&feature=player_embedded

Gothic & Lolita และ Punk

Gothic (โกธิค) แฟชั่นแนวนี้ส่วนมากจะเน้นไปในเรื่องของโทนสีที่ดูครึมๆ ลึกลับๆ ซึ่งเป็นแฟชั่นแบบ “Dark Style” มักจะเป็นสีดำซะส่วนใหญ่ แต่ก็อาจจะมีส่วนประกอบเป็นสีขาว หรือสีแดง ตามแต่สไตล์ของแต่ละคน ที่มาของแฟชั่นแนวนี้มาจากทางยุโรปเหนือและแถบอังกฤษค่ะ ซึ่งต้นกำเนิดอยู่ที่ชาวพื้นเมือง เรียกว่า “ชาวโกธิค” ซึ่งเราจะเห็นแฟชั่นสไตล์นี้ในหนังผี เช่น พวกท่านเคาน์, แวมไพร์ หรือพวกแม่มดในเทพนิยายที่ดูเรียบแต่หรูนั่นเอง หรือถ้าใครเคยอ่านหนังสือการ์ตูนเรื่อง “หนุ่มหล่อเฟี้ยว แปลงโฉมสาว” (Yamatonadeshiko) ก็จะเห็นการแต่งการสไตล์ Gothic ในเรื่องด้วยนะคะ


Gothic (โกธิค)

Lolita หรือ Lolita Baby (โลลิต้า)ส่วนมากแฟชั่นแนวนี้จะเป็นที่นิยมในกลุ่มวัยรุ่นสาวๆ มากกว่า เพราะจะออกแนวหวานแหว๋วเหมือนตุ๊กตาน่ารักนะคะ เสื้อผ้าในแนวนี้จะเน้นไปทางลูกไม้ ระบาย และสีผ้าที่ดูหวานๆ เช่น สีชมพู สีขาว ซะส่วนใหญ่แฟชั่นแบบ Lolita คือการนำเอาแบบชุดของตุ๊กตาของเด็กผู้หญิงและชุดของเชื้อพระวงศ์ (พวกเจ้าหญิงน่ะคะ)นำมาประยุกต์ใช้กันให้เหมือนเจ้าหญิงน้อยๆในเทพนิยาย แฟชั่นแนวนี้เป็นที่นิยมมากในผู้ดีสมัยก่อนในแถบยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และได้แพร่หลายไปในอีกหลายประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่น


Lolita (โลลิต้า)



Neo Lolita (นีโอโลลิต้า)
เป็นการนำสไตล์ Lolita มาประยุกต์ให้เป็นแบบที่ทันสมัย แต่ยังคงความคลาสสิกเอาไว้ เป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมมากในญี่ปุ่นโดยเฉพาะสาวๆ เพราะโทนสีจะหวานๆ นอกจากนั้นยังใช้ผ้าลายสก็อตมาตกแต่งอีกด้วย

Neo Lolita (นีโอโลลิต้า)

Gothic & Lolita แฟชั่นสไตล์ Gothic & Lolita คือ การนำเอาแฟชั่นแนว Gothic และ Lolita มารวมกัน โดยนำเอาความลึกลับของแนว Gothic และความหวานที่เป็นเอกลักษณ์ของแนว Lolita มาผสมผสานกันทำให้เกิดเป็นแนวใหม่ คือ Gothic & Lolita ที่เห็นเด่นชัดที่สุดคงจะเป็นเสื้อผ้าของ Mana วง Malice Mizer

Gothic & Lolita

Punk แบ่งเป็นUK.Punk (พังค์) แฟชั่นสไตล์ Punk เริ่มตั้งแต่ยุคปลายของปี’60 และถิ่นกำเนิดของแฟชั่นแนวนี้คือประเทศอังกฤษ สมัยนั้นจะเริ่มในกลุ่มเล็กในยุคที่มีการปฏิวัติและเหตุจลาจลกลางเมือง ซึ่งแนวนี้จะออกแนวรุนแรง เช่น มีการเจาะตามร่างกาย การเพ้นท์หรือสัก แฟชั่นแนวนี้จะเน้นโทนสีดำเป็นหลัก นิยมทั้งผู้หญิงและผู้ชาย นิยมแต่งหน้าและเขียนตากับปากด้วยสีดำ โดยจะมีส่วนประกอบของผ้าที่เป็นตาข่าย และเศษผ้าลุ่ยๆ ส่วนเครื่องประดับส่วนใหญ่จะเป็นเข็มขัด โซ่และหมุดเหล็ก โดยจะเห็นได้จาก วงร็อกของอเมริกานั่นเอง

JAP’Punk (เจแปนพังค์) เป็นพังค์ที่ประยุกต์ให้เข้ากับสไตล์ของญี่ปุ่น ต้นแบบมาจาก UK.Punk และการ์ตูนเรื่อง NANA ของ Ai Yazawa พังค์ในแบบญี่ปุ่นบางทีก็จะอาศัยประยุกต์ระหว่างผ้าลายญี่ปุ่นมาบวกกับการออกแบบในแนวพังค์


Punk (พังค์)

เครื่องแต่งกายแบบญี่ปุ่นๆ

kimono กับ yukata แตกต่างกันอย่างไรตอบ kimono มีหลายชั้นเวลาใส่ต้องมีความชำนาญ เนื้อผ้าทำจากผ้าไหมราคาแพง ส่วน yukata ส่วนใหญ่ทำจากผ้าฝ้าย และสามารถสวมใส่ได้ในฤดูร้อนมักใช้ในงานเทศกาล มาดูเครื่องแต่งกายแบบญี่ปุ่น ๆ กันว่าแต่ละอันเรียกว่าอะไรจะได้เรียกกันได้ถูกต้องนะคะ




Kimono ถ้าแปลตามตัวอักษรคันจิจะแปลว่า "เครื่องนุ่งห่ม,เสื้อผ้า,เครื่องอาภรณ์" และมีวิวัฒนาการความเป็นมาที่ยาวนานคู่กับประเทศญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัยโบราณ และเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายจนกระทั่งกลายเป็นภาพติดตาเมื่อกล่าวถึงประเทศญี่ปุ่น ก็ต้องนึกถึงภาพคนญี่ปุ่นในชุดกิโมโนที่สวยงาม Kimono มีหลากหลายรูปแบบที่แตกต่างกันแล้วแต่โอกาสในการใส่ และเปลี่ยนรูปแบบไปตามฤดูกาล รวมถึงการสวมใส่ของแต่ละคน แต่ละเพศ แต่ละวัยก็ทำให้ Kimono เปลี่ยนรูปแบบไปต่าง ๆ


Kimono - กิโมโน



ปัจจุบันผู้ที่สวมใส่ Kimono ไม่ได้มีเพียงแต่คนแก่เท่านั้น วัยรุ่นก็ต้องใส่ในงานพิธีต่าง ๆ เช่น วันฉลองอายุครบ 20 ปี , วันจบการศึกษา (ในบางโรงเรียน) เป็นต้น Kimono เป็นชุดที่มีราคาค่อนข้างสูง จึงนิยมมอบให้เป็นมรดกตกทอดแก่ลูกหลานอีกด้วย แต่ก็มีคนรุ่นใหม่ไม่น้อยที่ไม่สามารถสวมกิโมโน หรือผูกโอบิได้ถูกต้อง จึงได้มีโรงเรียนสำหรับสอนการสวมใส่กิโมโนเกิดขึ้น เนื้อผ้ากิโมโนนั้นมีทั้งผ้าฝ้ายและผ้าไหมแต่ถ้าเป็นไหมก็จะสวยงามมาก และราคาอาจจะสูงถึง ล้านเยน เลยก็มี



ส่วนประกอบของกิโมโน


yuki - แขนเสื้อ
doura - ซับในส่วนบน
sodetsuke - แนวตะช่องแขนเสื้อ
ushiromigoro - เส้นแบ่งส่วนหลัง
fuki - ชายกิโมโน
sode - แขนเสื้อ
uraeri - ปกเสื้อด้านใน
okumi - แผ่นคอเสื้อด้านหน้า
miyatsukuchi - ช่องเปิดใต้แขน
furi - ชายใต้แขนเสื้อ
tomoeri - ปกเสื้อ
eri - ปกเสื้อ
susomawashi - ตะเข็บ
maemigoro - สาบเสื้อด้านหน้า
tamoto - โพลงใต้แขนเสื้อ



Nagajugan - ชุดชั้นในสำหรับกิโมโน ใช้สวมใต้กิโมโน ส่วนใหญ่จะเป็นสีขาวเนื้อผ้าบางเบา





Uchikake - ใช้สวมทับกิโมโนเมื่อต้องทำพิธีรีตองอย่างเป็นทางการ เช่น พิธีแต่งงาน เป็นต้น





Shiro-maku - (shiro = ขาว , maku = บริสุทธิ์) กิโมโนสำหรับใส่ในงานแต่งงาน



เมื่อพูดถึงเครื่องนุ่งห่มของชาวญี่ปุ่น หลายคนต้องนึกถึงชุด กิโมโน (KI MONO) แต่ชาวญี่ปุ่นจะสวมชุดกิโมโน ในโอกาสสำคัญบางโอกาส คือ พิธีบรรลุนิติภาวะ, งานแต่งงาน และพิธีเข้าศึกษาในสถาบันการศึกษา เท่านั้น นอกจากนั้นส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงที่นิยมใส่กิโมโนไปในพิธี แต่โดยทั่วไปแล้วมักใส่ชุดเช่นเดียวกับชาวยุโรปทั่วไป ซึ่งชุดต่าง ๆ เหล่านี้ ถูกนำเข้าที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ยุคสมัยเมจิ (MEIJI ERAS) นับจากนั้นมาเสื้อผ้าแบบฝรั่งกลับเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของชาวญี่ปุ่นมากกว่ากิโมโน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่วัยรุ่น ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะนิยมใส่ยีนส์กันมาก กิโมโน ถือว่าเป็นชุดญี่ปุ่น (WAFUKU) เป็นเสื้อผ้าที่ตัดเป็นเส้นตรงเย็บจากผ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าไม่ว่าจะเป็นคนสูง - เตี้ย - อ้วน - ผอม สามารถใส่ชุดกิโมโนได้สบายได้สบาย ซึ่งสิ่งนี้ถือว่าเป็นข้อดีของกิโมโนเพราะตัดเพียงขนาดเดียวสามารถนำมาใส่ได้หมาะสมกับรูปร่างคนใส่ได้ทั้งหมด
ชุดกิโมโนอาจมีกำเนิดมาเช่นเดียวกับ ผ้า FUROSHIKI ซึ่งนำมาใช้ห่อของ แต่กลับนำมาห่อหุ้มร่างกาย แต่ชุดกิโมโนชุดใหญ่ที่นำมาใส่ในพิธีสำคัญ เช่น พิธีแต่งงาน พิธีบรรลุนิติภาวะ เป็นชุดที่มีราคาแพงมากบางชุดมีมูลค่าสูงเป็นหลายล้านเยนทีเดียว ดังนั้นการเลือกสีและลายจึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก เนื่องจากว่าต้องสามารถนำชุดที่มีราคาแพงมาใส่ได้แม้ว่าเวลาผ่านไปหลายปี และผู้ใส่มีอายุสูงขึ้นแล้วก็ตาม แต่ปัจจุบันนี้กิโมโนแทบจะไม่มีผู้ใส่แล้วเนื่องจากใส่ยาก, ใส่แล้วอึดอัด ต้องคอยระมัดระวังไม่สามารถทำตัวตามสบายได้ รวมถึงราคาสูงมาก เป็นต้น แต่ชุดกิโมโนที่ยังมีอยู่นิยมใส่อยู่คือ ชุด YUKATA
ชุด YUKATA เป็นชุดกิโมโนประเภทหนึ่งทำด้วยผ้าฝ้ายสำหรับใส่ในฤดูร้อน เมื่อเทียบกับชุดกิโมโนอื่น ๆ ซึ่งส่วนใหญ่ตัดเป็นผ้าไหมแล้ว ชุดยูกาตะมีราคาถูกสามารถซักทำความสะอาดได้ง่าย จึงมีผู้นิยมใส่กันอยู่ โดยเฉพาะเด็ก ๆ แทบจะทุกคนเคยสวมชุดยูกาตะ รำวงญี่ปุ่นที่เรียกว่า "BON ODORI" ในตอนสวมชุดกิโมโน ต้องสวมถุงเท้าที่เรียกว่า "ZORI" และรองเท้าเกี๊ยะ ที่เรียก "GETA" "สวมใส่ยูกาตะต้องสวม GETA" ในอดีตจนถึงราวทศวรรษที่ 1950 ชาวญี่ปุ่นสวมรองเท้าเกี๊ยะกับเสื้อผ้าทั่วไป ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องธรรมดาแม้ในเมืองจะพบเห็นร้านขายรองเท้าเกี๊ยะ และมีคนขายนั่งทำรองเท้าเกี๊ยะอยู่ในร้านด้วยแต่ในปัจจุบันนี้ร้านรองเท้าเกี๊ยะแทบจะไม่ได้พบเห็นหลังจากวัฒนธรรมจากตะวันตกเข้าสู่ประเทศญี่ปุ่น ได้เปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวญี่ปุ่นให้หายไปทีละน้อย จนแทบจะไม่สามารถพบเห็นกันได้ง่าย ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หน้าเสียดายมาก



Yukata - กิโมโนสำหรับใส่ในฤดูร้อน หรือใส่ลำลอง



อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น โอบิ, รองท้อง (geta) , ถุงเท้า ฯลฯ




Haori - เสื้อแจ๊คเกตสำหรับสวมทับกิโมโน ใส่ได้ทั้งชายและหญิง มักจะสวมเมื่อต้องออกไปข้างนอก เนื่องจากกิโมโนราคาแพงจึงต้องสวม Haori เพื่อป้องกันกิโมโนเปื้อน สาบเสื้อด้านหน้าจะไม่ผูกให้ชนกัน แต่จะมีเชือกสำหรับผูกอยู่ด้านหน้า


Haori - เสื้อแจ๊คเกตสำหรับสวมทับกิโมโน





Michiyuki - เป็นเสื้อสำหรับสวมด้านนอกเช่นกัน ลักษณะการใช้งานจะคล้ายกับ Haori จะแตกต่างกันตรงคอเสื้อจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม



gi - เสื้อที่ใส่คู่กับ hakama สำหรับผู้ชาย gi นั้นใช้สวมเป็นเสื้อเมื่อเล่นกีฬาต่าง ๆไม่ว่าจะเป็น kendo, judo, ยิงธนู, akido เป็นต้น



Hakama - กางเกง สามารถใส่ได้ทั้งหญิงและชาย ใช้สวมใส่ลำลอง หรือพิธีการ หรือแม้แต่ใช้ในการแข่งขันกีฬาไม่ว่าจะเป็น kendo, ยิงธนู ฯลฯ


Samugi (Samue) เป็นเครื่องแต่งกายที่ทำจากผ้าฝ้าย สวมใส่สบาย ใช้สวมใส่ขณะทำงานที่อาจจะต้องมีเหงื่อ เช่น งานเสิร์ฟอาหาร, ทำสวน, ออกกำลังกาย หรือบางคนก็ใส่อยู่บ้านก็ได้ ในสมัยก่อนเป็นเครื่องแต่งการของพระแต่ปัจจุบันนิยมสวมใส่ในคนทั่วไป



เครดิต http://www.japankiku.com/tour/kimono.html

ที่มาของ เมด( MAID )

Maid เป็นคำที่ถูกยืมมาจากคำว่า Maiden เป็นคำโบราณที่หมายถึง หญิงสาวบริสุทธิ์ ที่ยังไม่ได้แต่งงาน


คำว่า Maidservant ( สาวใช้ ) หรือที่ปัจจุบันเราเรียกว่า Maid คือ ผู้หญิงที่รับใช้งานในบ้านของนายจ้าง อย่างที่เราเห็นคือเป็นสาวใช้ที่ทำงานในบ้านหลังใหญ่ๆ ปัจจุบันนี้ "เมด" อาจจะเป็นเพียงสาวใช้ที่ทำงานในบ้านของผู้ดีหรือแม้แต่ผู้มีรายได้ปานกลางเท่านั้น


ในสังคมตะวันตก มีเพียงไม่กี่ครัวเรือนที่สามารถหาผู้ช่วยมือชยันมาอยู่กับพวกเขา โดยปกติแล้วเพียงให้มาทำความสะอาดบ้านในช่วงระยะเวลาหนึ่ง


ในประเทศด้อยพัฒนา ที่มีความแตกต่างระหว่างสังคมเมืองกับชนบท และสถานะทางเศรษฐกิจ ผู้หญิงที่มีการศึกษาน้อยและด้อยโอกาสก็มักจะเป็นแรงงานในบ้านของนายจ้าง


งานบ้านหลักๆของเมดได้แก่ ทำอาหาร รีดผ้า ซักผ้า ทำความสะอาดบ้าน จ่ายตลาด พาสุนัขไปเดินเล่น เลี้ยงเด็ก สำหรับประเทศยากจนบางแห่ง เมดจะทำหน้าที่เป็นพยาบาลดูแลผู้สูงวัยและผู้ที่ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ นายจ้างหลายคนมักต้องการให้เมดสวมชุดยูนิฟอร์มด้ว


ประเภทต่างๆ ของเมด ได้แก่

หัวหน้าเมด ( Head house parlour-maid )
เมดปัดกวาดเช็ดถู ( House parlour-maids )
เมดดูแลและทำความสะอาดห้องนอน ( Chambermaids )
เมดเลี้ยงเด็ก (
Nursery maid )
เมดทำกับข้าว (
Kitchen maid หรือ Between maid )
เมดล้างถ้วยชาม (
Scullery maid หรือ Cinder maid )
เลดี้เมด (
Lady's maid )




นอกเหนือจากเมดที่กล่าวมาด้านบน เลดี้เมดคือสาวใช้รุ่นพี่ ( Senior servant ) ที่รายงานตรงต่อคุณผู้หญิงของบ้าน มากกว่าแม่บ้าน ( Housekeeper ) หรือพ่อบ้าน ( butler )


งาน Chambermaids สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามโรงแรม มีหน้าที่ทำความสะอาดห้องพักของแขกผู้มาเยือน

ในประเทศกำลังพัฒนา อาชีพเมดยังคงเป็นช่องทางหลักของหญิงสาวยากจนมีรายได้หาเลี้ยงตัวเอง





เครดิต http://www.weloveshopping.com/template/a18/show_article.php?shopid=23691&qid=51354